วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

การเดินทาง



รถโดยสารประจำทาง


จากสมุทรสาคร ขึ้นรถโดยสารประจำทาง มหาชัย นครประฐม ไปลงสุดสาย (ในตลาด) ค่าโดยสาร 35-40 บาท รถออกเที่ยวแรก 05.30 . รถหมด 19.00 .จากนครปฐม ขึ้นรถโดยสารประจำทางสายนครปฐม-วัดไผ่โรงวัว ค่าโดยสาร 35-40 บาท ใช้เวลาเดินทางระมาณ 1.45 ชั่วโมง รถออกเที่ยวแรก 05.30 . รถหมด 16.00 .


ตอนนี้ตลาดบางหลวงได้เปิดให้เป็นที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ และมีของกินอร่อยๆมากมายในแบบฉบับของต้นตำหร้บดั้งเดิมเลยล่ะ ลองไปดูกันครับว่ามีอะไรกันบ้างตลาดบางหลวงเป็นชุมชนเก่าแก่อายุกว่า 100 ปี จากข้อมูลก่อตั้งตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๔๖ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำท่าจีน (หรือแม่น้ำสุพรรณบุรี) ด้านฝั่งตะวันตก เป็นห้องแถวไม้สองชั้นหันหน้าเข้าหากัน ยาวจากหัวตลาดถึงท้ายตลาดประมาณ หกสิบแปดห้อง. ปัจจุบันยังคงสภาพความสวยงามและบรรยากาศ ของสถาปัตยกรรมตลาดเก่าในอดีตไว้อย่างสมบูรณ์ ทั้งรูปแบบวิถีชีวิต ที่เรียบง่าย การค้าขายของคนในชุมชน รวมทั้งประเพณีและวัฒนธรรม ที่ผสมกลมกลืนระหว่างวัฒนธรรมไทย-จีนที่สืบทอดกันมาเป็นเวลากว่า 100 ปี การสร้างตลาดบางหลวงในอดีต ได้เริ่มจากคนจีนโพ้นทะเล ที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานที่บางหลวง จนกลายเป็นชุมชนที่ประกอบการค้า จึงสร้างเป็นตลาดเรือนไม้สองชั้น หันหน้าเข้าหากัน โดยสร้างตลาดบนก่อนเป็นตลาดแรก เมื่อตลาดมีความเจริญรุ่งเรืองชุมชนเริ่มขยาย ได้มีการสร้างตลาดล่าง และตลาดกลางตามลำดับ


หากใครได้ชมละครเรื่อง "คมแฝก" เมืองพล เมืองที่ถูกกุมอำนาจด้วยผู้มีอิทธพลที่ชื่อ แสน ราชสีห์ และใช้ไม้คมแฝกต่อสู้กันอย่างระเบิดระเบ้อ.. เบื้องหลังสถานที่ถ่ายทำละครเรื่องนี้ เมืองพลในละครก็คือ ตลาดบางหลวง อ.บางเลน จ.นครปฐม ตลาดบางหลวงแห่งนี้โด่งดังมากขึ้น จากการที่ได้เป็นสถานที่ถ่ายทำละครเรื่อง "คมแฝก" ที่ออนแอร์ทางช่อง 7 และเพิ่งจบไปไม่นานมานี้ กว่า 80% ของฉากละครถ่ายทำที่ตลาดบางหลวงนี้ จนทำให้หลายๆร้านค้าเริ่มเป็นที่โด่งดังออกไป แต่จริงๆแล้วตลาดแห่งนี้เคยเป็นสถานที่ถ่ายทำทั้งละคร และภาพยนต์อีกหลายๆเรื่อง วันนี้หมูหินเลยพามาตะลุยเมืองพล เพื่อจัดการกับ แสน ราชสีห์ (555..ว่ากันไปโน่น อินซ้าาา..)



เดิมตลาดบางหลวงเป็นแหล่งค้าขายทางน้ำ ที่สำคัญแห่งหนึ่งของอำเภอบางเลน เพราะมีท่าเรือ สะดวกในการขนถ่ายสินค้า มีบริษัทสุพรรณขนส่งให้บริการเดินเรือจากสุพรรณบุรีไปยังสถานีรถไฟงิ้วราย เพื่อเดินทางระหว่างหมู่บ้านหรือเข้ากรุงเทพฯ เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไปเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาแทน มี การสร้างถนน รถยนต์ก็มาแทนที่เรือ ทำให้การค้าขายทางน้ำเริ่มซบเซาลง แต่การค้าขายของชาวตลาดบางหลวงก็ยังคงอยู่ และยังคงรักษาเอกลักษณ์ด้านต่าง ๆไว้อย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นร้านขายยาจีนสมุนไพร ร้านทำฟันปลอม ร้านทำทอง ร้านบัดกรีโลหะ ร้านทำเส้นก๋วยเตี๋ยวก็ยังคงอนุรักษ์ไว้ เพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ของบางหลวงต่อไป


ถึงตลาดก็เกือบๆจะเที่ยงแล้ว แดดไม่ร้อนเท่าไหร่ และบรรยากาศที่นี่ดูจะเงียบสงบมากๆ ผู้คนอยู่กันอย่างเรียบง่าย ส่วนใหญ่ที่เห็นๆจะไม่ค่อยมีเด็กๆ หรือวัยรุ่นเท่าไหร่นัก ส่วนมากที่เจอจะเป็นคนสูงวัยซะมากกว่า เพราะที่นี่วันธรรมดาลูกๆหลานๆก็จะไปทำงานที่กรุงเทพฯ หรือไม่ก็ย้ายบ้านไปอยู่ที่อื่นๆ แต่เมื่อวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ก็จะกลับมาช่วยกันขายของที่ตลาดนี้ บรรยากาศภายในตลาดก็ดูเก่าแก่ อาคารบ้านเรือนส่วนใหญ่ก็ได้รับการซ่อมแซมไปเยอะเหมือนกัน แต่ยังคงรูปแบบเดิมไว้อยู่ ด้านในติดน้ำจะมี่แพไว้บริการให้นักท่องเที่ยวไว้นั่งเล่นพักผ่อน เราสามารถสั่งอาหารมานั่งทานในแพนี้ได้ครับ แถมยังมีเรือนำเที่ยวไว้คอยบริการให้นักท่องเที่ยวได้เที่ยวชมสองฝั่งแม่น้ำท่าจีน ราคาไม่แพงเลยครับเพียงคนละ 30บาทเอง แต่ต้องมาในวันเสาร์-อาทิตย์ นะ หากมาในวันธรรมดาอย่างหมูหินถ้าจะไปก็ต้องเหมาลำไปกัน ราคาเหมาก็ 500บาทครับ


หมูหินสั่งก๋วยเตี๋ยวมาทานบนแพ แถมด้วยหมูสะเต๊ะอีกชุดหนึ่ง อร่อยดีครับรสชาติก๋วยเตี๋ยวเป็นแบบก๋วยเตี๋ยวโบราณแท้เลยครับ หมูสเต๊ะก็นุ่มลิ้นอร่อยอีกเหมือนกัน ได้อาหารอร่อยๆและนั่งทานในบรรยากาศดีๆอย่างนี้ อิจฉาหมูหินมั๊ยล่ะ..555อิ่มท้องนิดหน่อยก็ได้เวลาเดินย่อยอาหารกันซะหน่อยแล้ว แต่เดินได้ไม่กี่ก้าวเราก็ต้องมาหยุดที่ร้านหนึ่งที่ขายของทอด แหม...ไม่หยุดได้ไงครับ ร้านนี้เค้าออกทีวีด้วยนะ ขายของที่เราไม่เคยได้ทานกันด้วยสิ ว่าแต่มันคืออะไรล่ะ..(ให้ทาย)ปอเปี๊ยะ ใครๆก็รู้จักและน่าจะเป็นของว่างกินเล่นที่หาทานกันได้ง่ายๆตามท้องตลาดทั่วไป แต่ถ้าหมูหินจะพูดถึง ชุนเปี๊ยะ ล่ะ จะมีใครพอจะนึกออกบ้างไม๊ว่ามันคืออะไร หน้าตาเป็นยังไง เป็นของกินหรืออะไรกันแน่ วันนี้หมูหินจะพามารู้จักและลิ้มรสของชุนเปี๊ยะกันครับ



ชุนเปี๊ยะ จะว่าไปแล้วหน้าตามันก็คล้ายๆ ปอเปี๊ยะ นั่นแหละครับ มีชื่อแบบไทยๆเรียกว่าขนมบ้องเป็นของว่างของกินเล่นที่ทำมาจากแผ่นแป้งบางๆ นำมาม้วน สอดไส้ไว้ข้างใน แล้วนำไปทอดให้เป็นสีเหลืองทอง ความแตกต่างระหว่างชุนเปี๊ยะกับปอเปี๊ยะจะต่างกันตรงที่ว่าถ้าเป็น ปอเปี๊ยะ ไส้ข้างในจะทำมาจากวุ้นเส้น ถั่วงอก หมูสับ สามารถทานได้ทั้งแบบสด และแบบทอด เวลาทานก็จะราดด้วยน้ำจิ้มถึงจะครบตามสูตรของปอเปี๊ยะ ส่วนชุนเปี๊ยะ ไส้ข้างในจะทำมาจากใบกุยช่ายผัด กุ้งแห้ง และหมูหั่นชิ้นบางๆ เมื่อนำแผ่นแป้งมาม้วนแล้วทอดให้กรอบ รสชาติจะกลมกล่อมมีทั้ง เค็ม มัน ผสมกับความกรอบของแป้ง หมูหินต้องยกนิ้วให้เชียวแหล่ะครับว่าอร่อยจริงๆ ชุนเปี๊ยะจะทานได้เฉพาะแบบทอดเท่านั้น และที่สำคัญไม่ต้องมีน้ำจิ้มหรือเครื่องเคียงใดๆทั้งสิ้น แค่นี้ก็อร่อยเหาะแล้วล่ะครับ หมูหินสอบถามเจ้าของร้านขายชุนเปี๊ยะ ซึ่งเป็นเจ้าของสูตรชุนเปี๊ยะเจ้าแรกของตลาดบางหลวง ได้ความว่า สามีของอาม่าเจ้าของร้าน เป็นคนได้สูตรมาจากเมืองจีน ขายชุนเปี๊ยะอยู่ที่เมืองจีน พอกลับมาเมืองไทยก็นำสูตรชุนเปี๊ยะมาทำขายที่เมืองไทยด้วย ขายอยู่ที่ตลาดบางหลวงมากว่า 50 ปีแล้ว เปิดร้านขายอยู่ที่ตลาดบางหลวงทุกวัน โดยตั้งร้านอยู่ที่หน้าบ้านของตัวเอง ชื่อร้านว่า ปึงใฮ้ฮวดอาม่ากับลูกสาวเจ้าของร้านอัธยาศัยดีมากๆ บอกว่าต้องเป็นร้านชื่อนี้เท่านั้นถึงจะได้กินชุนเปี๊ยะสูตรแท้ๆจากเมืองจีน เพราะวันเสาร์-อาทิตย์ที่ตลาดบางหลวงจะมีร้านขายชุนเปี๊ยะหลายร้าน เจ้าของร้านแอบแซวว่า นี่ขนาดยังไม่ได้ขายเฟรนไชน์นะเนี่ย แต่ยังไงซะจ้าของร้านรับรองว่ากินชุนเปี๊ยะร้านไหนๆ ก็ไม่มีทางเหมือนชุนเปี๊ยะร้านปึงใฮ้ฮวด แน่นอน แอบๆถามว่าเคล็ดลับความอร่อยอยู่ที่ไหน ก็ได้คำตอบว่าอยู่ที่แป้งบางๆที่ใช้ห่อจะเป็นสูตรที่ไม่เหมือนใคร แต่ขอเก็บเป็นความลับไว้ให้ลองมาชิมกันเองถึงที่ตลาดบางหลวงจะดีกว่า อาม่าและลูกสาวบอกว่าถ้าอยากกินชุนเปี๊ยะแบบทันอกทันใจต้องมาวันธรรมดา ถึงจะได้กินแบบไม่ต้องรอนานนัก ถ้าเป็นวันเสาร์-อาทิตย์ล่ะก็ รับรองรอเป็นชั่วโมงๆเลยล่ะครับ เพราะใครมาเที่ยวตลาดบางหลวงก็ต้องมาสั่งชุนเปี๊ยะ สั่งทีเป็นสิบๆกล่อง ใครอยากกินก็ต้องรอกันไป เพราะแกไม่ยอมทำทิ้งไว้เยอะๆ มันจะทำให้แป้งไม่กรอบ และไม่อร่อย ที่สำคัญไม่มีเวลาทำทิ้งไว้ด้วยเพราะขายออกหมดทำแทบไม่ทันขาย เพราะฉะนั้นถ้าอยากกินก็ต้องรออย่างเดียวครับ ราคาก็ถูกแสนถูก 4 อัน 10 บาทเท่านั้น สำหรับใครทีต้องการซื้อชุนเปี๊ยะไปเป็นของฝาก ก็ต้องบอกเค้าด้วยนะครับ เพราะเค้าจะได้ทอดชุนเปี๊ยะให้แค่พอเหลืองเล็กน้อย เวลานำกลับบ้านก็จะได้เอาไปลงกระทะทอดซ้ำใหม่ ก็จะได้ชุนเปี๊ยะสีเหลืองทองกรอบนอก อร่อยใน เหมือนต้นฉบับเป๊ะ ของว่างแปลกๆ กรอบ อร่อย น่ากิน ต้องชุนเปี๊ยะตลาดบางหลวงครับ ตอนแรกหมูหินก็ยังสงสัยอยู่ว่าข้าวเกรียบปากหม้อไส้ผัก โดยเฉพาะผักกระเฉดเนี่ยนะ แล้วมันจะอร่อยเหรอ ถามเจ้าของร้านออกไปก็ได้คำตอบว่าต้องลองดู พร้อมกับรอยยิ้มแบบเยาะเย้ยว่า ไม่รู้อะไรซะแล้ว ไม่ยอมต้องรอคิวยาวเหมือนกันครับ นี่ขนาดวันธรรมดานะเนี่ย รอตั้งเกือบครึ่งชั่วโมง พอได้กิน โอ้โห! ต้องบอกว่าไม่ผิดหวังเลยล่ะครับ อร่อยมากๆ ร้านข้าวเกรียบปากหม้อ เจ๊สมนึก นี่ก็เป็นอีกร้านที่บอกว่าถ้าเป็นวันเสาร์-อาทิตย์ต้องรอกันเป็นชั่วโมง แถมไม่มีเวลามานั่งคุยกับหมูหินแบบนี้ด้วย เพราะแค่ทำขายอย่างเดียวก็แทบไม่ทันแล้ว เพิ่มเตาขึ้นอีกเตายังทำขายไม่ทันเลย เพราะฉะนั้นถ้าใครอยากกินต้นตำหรับก็ต้องรอกันไปตามระเบียบ แต่ก็อร่อยคุ้มค่ากับการรอนะครับ ถามถึงเคล็ดลับความอร่อย เจ้าของร้านบอกว่าอยู่ที่น้ำจิ้ม ใครอยากได้สูตรน้ำจิ้มหรืออยากหัดทำข้าวเกรียบปากหม้อ เจ้าของร้านเค้ายินดีสอนให้โดยไม่หวง จะเอาไปทำขายหรือเอาไปทำเลียนแบบที่ไหนก็ไม่ว่า เพราะแกบอกว่าจะเอาไปทำขายได้ไม่ใช่ง่ายๆ ต้องมีความอดทนสูง เพราะต้องอยู่หน้าเตาทั้งวัน หมูหินคอนเฟิร์มนะครับว่า ข้าวเกรียบปากหม้อไส้ผัก ร้าน เจ๊สมนึกเป็นอาหารว่างง่ายๆที่แปลก และอร่อยมากๆอีกอย่างหนึ่ง ที่ไม่ควรพลาดเวลาไปเที่ยวที่ตลาดบางหลวง ร.ศ.๑๒๒ แถมราคาก็ถูกมาก ตัวละบาทเดียวเท่านั้น ลองดูนะครับ อ่อๆ..อีกร้านที่หมูหินไม่พลาดที่จะแวะคือร้านกาแฟ ซึ่งร้านนี้ก็โด่งดังจากในฉากละครเรื่องคมแฝก ร้านนี้ชื่อร้านกาแฟ





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น